
ตอบทุกคำถาม
เรื่องทั่วไป
"ปิดหนี้" ให้บริการด้วยใจจริง ไม่เน้นหาผลกำไร เรามุ่งมั่นที่จะช่วยปลดภาระหนี้ให้กับลูกค้าที่ตั้งใจคุมเรื่องการเงินในระยะยาวของตน เราเน้นการให้ข้อมูลกับลูกค้าอย่างครบถ้วนเพื่อประกอบการตัดสินใจโดยไม่ปกปิดข้อเสียหลังการบริการ
เราจะช่วยท่านวิเคราะห์หนี้เพื่อทำแผนปรับโครงสร้างหนี้ จากนั้นเราจะรวมหนี้และแปลงหนี้ทั้งหมดให้เป็นสินทรัพย์ โดยจะชี้แจงรายละเอียดและภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือนหลังจากการปรับโครงสร้างหนี้อย่างละเอียด นอกจากนี้เราจะช่วยท่านบริหารสินทรัพย์ที่ได้มาเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของท่านในระยะยาว เพื่อไม่ให้ท่านต้องกลับมาเผชิญภาะทางการเงินอีกต่อไป
หากท่านมีภาระจากสินเชื่อนาโน สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อหมุนเวียน และสินเชื่อส่วนบุคคล เราสามารถให้บริการท่านได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลลัพธ์อย่างชัดเจน แม้ว่าท่านจะติดประวัติชำระหนี้ล่าช้า
เจ้าหน้าที่จะให้คำปรึกษาที่เหมาะกับสถานะการเงินของท่าน โดยการตัดสินใจใจทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับลูกค้าเพียงคนเดียว หากท่านประสงค์ที่จะไม่ดำเนินการต่อ ทางเราจะไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆกับท่าน
ลูกค้าสามารถซื้อสินทรัพย์ได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องปิดหนี้หากลูกค้าไม่มีความจำเป็น ทางบริษัทส่งเสริมให้ลูกค้ากู้เท่าที่จำเป็นและไม่เกินตัว
เครดิตบูโร
เครดิตบูโร (Credit Bureau) หรือ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (“NCB”) เป็นบริษัทกลางที่ทำหน้าที่จัดเก็บและรวบรวมข้อมูลของคนเป็นหนี้ เปรียบเสมือน “สมุดพกของคนเป็นหนี้” ที่จะรวบรวมข้อมูลและประวัติการผ่อนชำระสินเชื่อ
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าที่ขอสินเชื่อ ดังนี้ 1. ข้อเท็จจริงที่บ่งชี้ถึงตัวลูกค้าและคุณสมบัติของลูกค้าที่ขอสินเชื่อ เช่น ชื่อ ที่อยู่ วันเดือนปีเกิด สถานภาพการสมรส อาชีพ เลขที่บัตรประชาชน และกรณีที่เป็นนิติบุคคล จะเป็น ชื่อ สถานที่ตั้ง เลขที่ทะเบียนนิติบุคคล เป็นต้น
2. ประวัติข้อมูลเครดิต ได้แก่ ประวัติการขอและการได้รับอนุมัติสินเชื่อ และ การชำระสินเชื่อของลูกค้าที่ขอสินเชื่อ รวมทั้งประวัติการชำระราคาสินค้าหรือบริการโดยบัตรเครดิต และสถานะบัญชี
รายงานข้อมูลเครดิต (Credit Report) คือ รายงานที่บริษัทข้อมูลเครดิตจัดทำขึ้นและให้สิทธิสถาบันการเงินที่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลเรียกดู หรือเจ้าของข้อมูลเรียกดูได้ โดยรายงานข้อมูลเครดิตจะแสดงข้อมูลสินเชื่อ ประวัติการชำระสินเชื่อ สถานะทุกบัญชีที่เจ้าของข้อมูลมีอยู่กับสถาบันการเงินทุกแห่งที่เป็นสมาชิกของบริษัทข้อมูลเครดิต หรือสมาชิกเครดิตบูโร
ข้อมูลเครดิตจะแสดงถึงประวัติการชำระหนี้ที่สะท้อนถึงพฤติกรรมและวินัยทางการเงินของเจ้าของข้อมูล แสดงถึงความตั้งใจในการชำระหนี้และความน่าเชื่อถือหรือที่เราเรียกกันว่า “เครดิต” ที่มีความสำคัญต่อการประกอบธุรกิจ สถาบันการเงินจึงใช้ประโยชน์จากรายงานข้อมูลเครดิตเป็นปัจจัยหนึ่งที่ใช้ร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ เช่น ความสามารถในการหารายได้ ความเป็นไปได้ของธุรกิจ หลักประกัน เป็นต้น ดังนั้น ย่อมกล่าวได้ว่าผู้ที่มีประวัติการชำระหนี้ดีมีโอกาสได้รับสินเชื่อในอัตราที่เหมาะสม
เครดิตบูโรจะจัดเก็บข้อมูลเป็น 2 ส่วน ได้แก่
1. ข้อมูลที่บ่งชี้ถึงตัวตนลูกค้า เช่น ชื่อ ที่อยู่ วันเดือนปีเกิด สถานภาพการสมรส อาชีพ เลขที่บัตรประชาชน และในกรณีนิติบุคคลจะเป็นชื่อ ที่ตั้ง เลขทะเบียนนิติบุคคล เป็นต้น
2. ข้อมูลสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติและประวัติการชำระสินเชื่อ เช่น ประวัติการกู้ซื้อบ้าน กู้ซื้อรถ ผ่อนบัตรเครดิตอยู่กี่ใบ มีสินเชื่อทั้งหมดกี่บัญชี และสถานะของแต่ละบัญชีว่าเป็นอย่างไรบ้าง รวมถึงประวัติการผ่อนชำระ ไม่ว่าจะจ่ายตรง จ่ายช้า ค้างนานขนาดไหน
แบล็คลิส
Blacklist คือ บัญชีดำ ซึ่ง ในความเป็นจริงเครดิตบูโร ไม่ได้มีหน้าที่ติด Blacklist ใคร เครดิตบูโรเพียงแค่เก็บบันทึกประวัติการขอสินเชื่อและการผ่อนชำระหนี้จากการรายงานของสมาชิกเท่านั้น ดังนั้น “Blacklist ไม่มีจริง” ในรายงานข้อมูลเครดิต
บางครั้งคนที่เคยค้างชำระ อาจจะมีความสงสัยว่าเครดิตตัวเองเสียแล้วหรือเปล่า ในความเป็นจริง เครดิตบูโรไม่ได้เป็นคนตัดสินว่าใครเครดิตดีหรือเครดิตเสีย แต่สถานะ “ค้างชำระ” (20) ในรายงานข้อมูลเครดิต หมายความว่าเรามียอดหนี้คงค้างอยู่ในระบบ **ค้างชำระเกิน 90 วัน ซึ่งสถานะนี้สามารถบ่งชี้ถึงความสามารถและความตั้งใจในการชำระหนี้ได้ และอาจมีผลในเชิงลบต่อการพิจารณาการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินที่เราไปขอกู้ด้วย
โดยปกติแล้วสถาบันการเงินจะมีหลักเกณฑ์พิจารณาหลายอย่างนอกเหนือจากข้อมูลเครดิต เช่น หน้าที่การงาน รายได้ที่แน่นอน หรือพิจารณาตามนโยบาย และหลักเกณฑ์การให้สินเชื่อของแต่ละสถาบันเอง แล้วจึงมาดูประวัติการชำระหนี้ประกอบการพิจารณา ซึ่งบางสถาบันจะดูจากประวัติการผ่อนชำระย้อนหลัง 6 เดือน, 9 เดือน, 12 เดือน หรือ 18 เดือน ว่าเรามีวินัย และความสามารถในการผ่อนชำระตรงต่อเวลามากน้อยขนาดไหน ซึ่งระยะเวลาการดูข้อมูลย้อนหลังก็ขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ของแต่ละที่ และดูภาระหนี้รวมที่มีอยู่ทั้งหมดด้วย แต่หากเรามีรายได้น้อย รายได้ไม่แน่นอน หรือมีเครดิตที่ไม่ดี มีประวัติการค้างชำระหลายที่ และค้างเป็นเวลานานเกิน 3 งวด ก็มีสิทธิ์ที่จะถูกปฏิเสธสินเชื่อเช่นกัน
ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ.2545 บัญญัติให้สถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องนำส่งข้อมูลของลูกค้าของตนแก่บริษัทข้อมูลเครดิตที่ตนเป็นสมาชิก โดยเมื่อได้นำส่งในครั้งแรกแล้วสถาบันการเงินนั้นต้องแจ้งให้ลูกค้าทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่นำส่งข้อมูล แต่ไม่ต้องขออนุญาตจากลูกค้า นอกจากนั้นสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกอาจต้องแจ้งให้ลูกค้าทราบในกรณีอื่นๆ
ถ้าสถาบันการเงินที่คุณได้รับการอนุมัติสินเชื่อเป็นสมาชิกของบริษัทข้อมูลเครดิต หรือสมาชิกเครดิตบูโร ข้อมูลของคุณก็จะถูกรายงานเข้ามาที่เครดิตบูโร เนื่องจากสมาชิกมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องนำส่งข้อมูลของลูกค้าของตนแก่บริษัทข้อมูลเครดิตที่ตนเป็นสมาชิก
การซ่อมเครดิต
ถ้าเรามีประวัติในการชำระหนี้ที่ไม่ดี มีการค้างชำระนานกว่า 90 วันขึ้นไป โอกาสที่เราจะเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรม ได้รับการอนุมัติสินเชื่อที่ดอกเบี้ยที่ต่ำ ก็จะน้อยลง
ถ้าในอดีตเคยค้างชำระ หรือจ่ายช้าบ้างบางงวด แต่ปัจจุบันสามารถกลับมาชำระได้ตามปกติเป็นปัจจุบัน รายงานข้อมูลเครดิตก็จะถูกปรับสถานะกลับมาเป็น “สถานะปกติ” (10) ในรอบเดือนถัดไป
สถาบันการเงินแต่ละแห่งจะมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาและใช้ข้อมูลจากรายงานในระยะเวลาที่แตกต่างกัน ซึ่งบางสถาบันจะดูจากประวัติการผ่อนชำระย้อนหลัง 6 เดือน, 9 เดือน, 12 เดือน หรือ 18 เดือน ว่าเรามีวินัย และความสามารถในการผ่อนชำระตรงต่อเวลามากน้อยขนาดไหน ทางที่ดีควรผ่อนชำระให้ตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอจนครบสัญญา หรืออย่างน้อยหนึ่งปี เพื่อสร้างเครดิตที่ดีในรายงานของเครดิตบูโร
ถ้าคุณเป็นหนี้หลายบริษัทและไม่สามารถผ่อนชำระไหว การรวมหนี้มาไว้ที่เดียวจะทำให้บริหารจัดการได้ง่ายยิ่งขึ้น และสามารถควบคุมรายจ่ายต่อเดือนได้ การเลือกใช้บริการ Baanplus+ ก็เป็นอีก 1 ตัวช่วยในการรวมหนี้ และนำเงินไปปิดหนี้ที่อื่น ๆ เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อผ่อนชำระให้ตรงตามกำหนดจนครบสัญญา หรืออย่างน้อย 1 ปี ประวัติของคุณก็จะดีขึ้นอีกด้วย
หาทางพูดคุยกับสถาบันการเงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ ให้เราสามารถผ่อนชำระหนี้คืนไหว ป้องกันไม่ให้บัญชีของเราเกิดสถานะ “ค้างชำระหนี้” (20) ซึ่งจะมีผลเสียในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอนาคต
สภาพคล่องของเราที่บ่งชี้ว่ามีเงินเพียงพอที่จะผ่อนชำระหนี้ได้ตามกำหนดหรือไม่ โดยปกติจะคำนวณจากรายได้หักลบกับจำนวนยอดหนี้ที่ต้องผ่อนต่อเดือน